วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

กลุ่มที่ 8 ทฤษฎีการเรียนรู้ของสกินเนอร์ (Skinner)



ทฤษฎีการเรียนรู้ของสกินเนอร์ (Skinner)



ทฤษฎีการเรียนรู้ขอสกินเนอร์  (Skinner)  เป็นผู้คิดทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำหรือแบบปฏิบัติการ  ซึ่งมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน  คือ  Operant  Conditioning  Theory  หรือ  Instrumental conditioning theory  หรือ  Type - R Conditioning Theory   สกินเนอร์ได้เสนอแนวความคิดโดยจำแนกทฤษฎีทางพฤติกรรมออกเป็น  2  ประเภท  คือ
1.  พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้แบบ   Type S  (Response Behavior)  ซึ่งมีสิ่งเร้า  (Stimulus)  เป็นตัวกำหนดหรือดึงออกมา  เช่น  น้ำลายไหลเนื่องจากใส่อาหารเข้าไปในปาก  สะดุ้งเพราะถูกเคาะที่สะบ้าข้างเข่า  หรือการหรี่ตาเมื่อถูกแสงไฟ  พฤติกรรมดังกล่าวเป็นการตอบสนองแบบอัตโนมัติ
2.  พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้แบบ  Type R  (Operant Behavior) พฤติกรรมหรือการตอบสนองขึ้นอยู่กับการเสริมแรง  (Reinforcement)  การตอบสนองแบบนี้จะต่างกับแบบแรก  เพราะอินทรีย์เป็นตัวกำหนดหรือเป็นผู้สั่งให้กระทำต่อสิ่งเร้า  ไม่ใช้ให้สิ่งเร้าเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของอินทรีย์  เช่น  การถางหญ้า  การเขียนหนังสือ  การรีดผ้า  พฤติกรรมต่าง ๆ  ของคนในชีวิตประจำวันเป็นพฤติกรรมแบบ Operant Conditioning)  หลักการเรียนรู้ที่สำคัญ  หลักการเรียนรู้ของทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ เน้นการกระทำของผู้ที่เรียนรู้มากกว่าสิ่งเร้าที่กำหนดให้  กล่าวคือ  เมื่อต้องการให้อินทรีย์เกิดการเรียนรู้จากสิ่งเร้าใดสิ่งเร้าหนึ่ง  เราจะให้ผู้เรียนรู้เลือกแสดงพฤติกรรมเองโดยไม่บังคับหรือบอกแนวทางในการเรียนรู้ เมื่อผู้เรียนแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้แล้วจึง "เสริมแรง" พฤติกรรมนั้นทันที  เพื่อให้ผู้เรียนรู้ว่าพฤติกรรมที่แสดงออกนั้นเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้  หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบการกระทำนั้น  พฤติกรรมการตอบสนองจะขึ้นอยู่กับการเสริมแรง  (Reinforcement)  ตัวเสริมแรงแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ  คือ
1.   ตัวเสริมแรงทางบวก  (Positive  Reinforcement)  หมายถึง สิ่งเร้าใด  ๆ  ซึ่งเมื่อนำมาใช้แล้วทำให้อัตราการตอบสนองเพิ่มมากขึ้น  เช่น  คำชมเชย  รางวัล  อาหาร
2.   ตัวเสริมแรงทางลบ   (Negative  Reinforcement)   หมายถึง  สิ่งเร้าใด ๆ  ซึ่งเมื่อนำมาใช้แล้วทำให้การตอบสนองเพิ่มขึ้นในทางลบ  เป็นตัวเสริมแรงทางลบ  เช่น  เสียงดัง  อากาศร้อน  คำตำหนิ  กลิ่น  การทำโทษ  เป็นการนำตัวเสริมแรงลบเข้ามา  เพราะการทำโทษบางอย่างหากนำไปใช้จะมีผลให้อัตราการตอบสนองเปลี่ยนไปในลักษณะที่เข้มขึ้น
การนำทฤษฎีการเรียนรู้ของสกินเนอร์ไปใช้ในการจัดการศึกษาปฐมวัย
1.  การใช้เสริมแรง   (Reinforcement)   ทุกขั้นตอนของการจัดกิจกรรม  ครูควรให้การเสริมแรง  โดยการชมเชยหรือให้แรงจูงใจ  โดยวิธีการต่าง ๆ  เช่น  การให้รางวัล  ทั้งนี้เพราะเด็กในวัยนี้ต้องการให้ผู้อื่นสนใจตนหรือเห็นว่าตนเองสำคัญกว่าคนอื่น  การให้แรงจูงใจจะทำให้เด็กเกิดความสนใจ  พอใจที่จะเรียน
2.  การปลูกฝังพฤติกรรมบางอย่างและการลดพฤติกรรมบางอย่าง  (Shaping Behavior)
หลักการสำคัญของทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำของสกินเนอร์ก็คือการควบคุมการตอบสนองด้วยวิธีการเสริมแรง  กล่าวคือ  เราจะให้การเสริมแรงเฉพาะในเรื่องที่ต้องการเพื่อให้เกิดเป็นนิสัยติดตัว  ดังนั้นถ้าเราต้องการให้เด็กมีพฤติกรรมใหม่ในเรื่องใด  ก็ควรให้การเสริมแรงพฤติกรรมนั้น  เพื่อให้เด็กทำต่อไปจนเป็นนิสัย แต่ถ้าต้องการให้พฤติกรรมใดหายไปก็ควรลดการเสริมแรงพฤติกรรมนั้น  ก็จะทำให้พฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนานั้นหายไป  การปลูกฝังพฤติกรรมใหม่ให้แก่เด็กโดยการใช้การเสริมแรงเป็นสิ่งควบคุมพฤติกรรม ครูควรมีการวางแผนให้เหมาะสม
3.  บทเรียนแบบโปรแกรม  (Programmed Maching)  และเครื่องช่วยสอน  (Teaching Learning) สกินเนอร์ได้เสนอการสอนแบบโปรแกรม   ซึ่งจัดแบ่งเนื้อหาวิชาออกเป็นส่วนย่อย ๆ เป็นขั้น ๆ  และจัดลำดับให้เป็นเหตุเป็นผลเพื่อให้เรียนได้ง่าย และเมื่อสำเร็จแต่ละขั้นจะได้รับแรงเสริม หรือให้รางวัลทันที ทั้งบทเรียนสำเร็จรูปและเครื่องช่วยสอนต่างเน้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง  โดยมีคำตอบที่ถูกต้องไว้ให้  ซึ่งบทเรียนดังกล่าวควรนำมาใช้ประกอบการเรียนการสอนจะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้มากยิ่งขึ้นทฤษฎีพัฒนาการของอีริคสันอีริคสัน  (Erikson)  ได้เน้นความสำคัญที่วัยของเด็ก  ขั้นตอนของการพัฒนาการและสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ  ตัวเด็กว่า  ถ้าเด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เขาพอใจ  ประสบความสำเร็จ เขาจะมองโลกในแง่ดี มีความเชื่อมั่นและไว้วางใจผู้อื่น  แต่ถ้าเด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี  ไม่พอใจ  จะมองโลกในแง่ร้าย  ขาดความเชื่อมั่นในตนเองและไม่วางใจผู้อื่นอีริคสัน  ยังได้ย้ำว่า  ถ้าหากเด็กไม่พัฒนาและผ่านขั้นต้นแล้ว  เด็กก็จะไม่สามารถพัฒนาในขั้นต่อ ๆ ไปได้การนำมาใช้ในการจัดการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษานั้น  การจัดกิจกรรมในขั้นก่อนประถมศึกษา  เน้นการที่เด็กได้ประสบความสำเร็จและพึงพอใจต่อสภาพแวดล้อมของห้องเรียน  ต่อเพื่อนฝูงและต่อครู  ทั้งนี้เพื่อให้เด็กมองสังคมใหม่  สังคมโรงเรียนในด้านดี มีความเชื่อมั่นและไว้วางใจต่อผู้อื่น  และถ้าหากว่าเด็กพอใจและมองโรงเรียนในแง่ดีแล้ว เด็กก็อยากมาโรงเรียน ก็จะได้รับการพัฒนาให้เจริญเติบโตขึ้นการช่วยเหลือตนเอง  เช่น  การไปห้องน้ำ การแต่งกาย  การเก็บของเล่นเข้าที่นั้น  ในระยะเริ่มต้น  ครูจะดูแลอยู่อย่างใกล้ชิด  และใช้การชมเชย การชักชวนให้ทำกิจกรรมร่วมกับครู  ก็จะเป็นการไม่บังคับ  เด็กไม่เกิดการต่อต้านและเกิดความพอใจเป็นรางวัลในการทำกิจกรรมช่วยเหลือ  การหัวเราะเยาะในสิ่งที่เด็กทำ  หรือการจัดแข่งขันผลงานที่อาจจะก่อให้เกิดการละอาย  ก็ไม่ควรใช้  เพราะจะทำให้เด็กไม่กล้าแสดงออกอีกต่อไปกิจกรรมในระดับก่อนประถมศึกษา  เน้นผ่านการเล่น  ซึ่งเป็นการสนุกสนาน สื่ออุปกรณ์ที่ใช้   ก็เรียกร้องและเชิญชวนต่อการเข้าร่วมการใช้จินตนาการ  บทบาทสมมติซึ่งเป็นการตอบสนองต่อพัฒนาของเด็กวัยนี้  ก็มีการจัดให้อยู่ตลอดเวลา
การศึกษาทดลองของสกินเนอร์

การเสริมแรง  คือสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการแสดงพฤติกรรมของบุคคลซึ่งจะแยกเป็น  2  ประเภทคือ  การเสริมแรงทางบวก  คือสิ่งที่ก่อให้เกิดการแสดงพฤติกรรมเพิ่มขึ้น  และการเสริมแรงทางลบ  คือสิ่งที่เมื่อนำออกไปแล้วจะทำให้การแสดงพฤติกรรมเพิ่มขึ้น  การลงโทษ  การเสริมแรงทางลบและการลงโทษมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันและมักจะใช้แทนกันอยู่เสมอ  แต่การอธิบายของสกินเนอร์การเสริมแรงทางลบและการลงโทษต่างกัน  โดยเขาได้เน้นว่าการลงโทษนั้นเป็นการระงับหรือหยุดยั้งพฤติกรรม
เปรียบเทียบการเสริมแรงและการลงโทษ ได้ดังนี้
พฤติกรรม
การเสริมแรง
เพิ่มพฤติกรรม ก่อให้เกิดการกระทำ พฤติกรรมนั้นบ่อยขึ้น
พฤติกรรม
การลงโทษ
ลดพฤติกรรม ก่อให้เกิดการกระทำ พฤติกรรมนั้นน้อยลง
2.  ตารางการให้การเสริมแรง
ในการทดลองของสกินเนอร์ซึ่งเน้นให้ผู้เรียนเป็นผู้ลงมือกระทำเอง  ดังนั้นระยะเวลาในการให้การเสริมแรงจะมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้มาก ตารางการให้การเสริมแรง  สามารถแยกออกได้ ดังนี้


ตัวอย่างตารางการให้การเสริมแรง

ตารางการเสริมแรง
ลักษณะ
ตัวอย่าง
การเสริมแรงทุกครั้ง (Continuous)
เป็นการเสริมแรงทุกครั้งที่
แสดงพฤติกรรม
ทุกครั้งที่เปิดโทรทัศน์แล้ว
เห็นภาพ
การเสริมแรงความช่วงเวลาที่
แน่นอน (Fixed - Interval)
ให้การเสริมแรงตามช่วงเวลาที่
กำหนด
ทุก ๆ สัปดาห์ผู้สอนจะทำ
การทดสอบ
การเสริมแรงตามช่วงเวลาที่
ไม่แน่นอน
(Variable - Interval)
ให้การเสริมแรงตามระยะเวลา
ที่ไม่แน่นอน
ผู้สอนสุ่มทดสอบตามช่วงเวลา
ที่ต้องการ
การเสริมแรงตามจำนวนครั้ง
ของการตอบสนองที่แน่นอน
(Fixed - Ratio)
ให้การเสริมแรงโดยดูจาก
จำนวนครั้งของการตอบสนอง
ที่ถูกต้องด้วยอัตราที่แน่นอน
การจ่ายค่าแรงตามจำนวน
ครั้งที่ขายของได้
การเสริมแรงตามจำนวนครั้ง
ของการตอบสนองที่ไม่แน่นอน
(Variable - Ratio)
ให้การเสริมแรงตามจำนวนครั้ง
ของการตอบสนองแบบไม่แน่นอน
การได้รับรางวัลจากเครื่อง
เล่นสล๊อตมาชีน






3. การปรับพฤติกรรม           การปรับพฤติกรรม  คือ  การนำแนวความคิดของสกินเนอร์ในเรื่องกฎแห่งผลมาใช้อย่างเป็นระบบเพื่อทำการปรับพฤติกรรมของบุคคล  หลักการนี้อาจจะใช้ทั้งการเสริมแรงทางบวกและการเสริมแรงทางลบประกอบกัน  อย่างไรก็ตามจากการศึกษาวิจัยของทิฟเนอร์และคณะ  พบว่าในหลาย ๆ ครั้งที่การใช้หลักดังกล่าวไม่เกิดผลนั่นก็คือแม้จะใช้หลักการชม  แต่ผู้เรียนก็ยังคงมีการกระทำผิดต่อไป  ดังนั้นการใช้หลักดังกล่าวควรจะใช้ร่วมกับเทคนิคอื่น ๆ ด้วย
หลักการชมที่มีประสิทธิภาพ ควรจะมีลักษณะดังนี้
(1) ควรชมพฤติกรรมที่สมควรได้รับการยกย่อง
(2) ระบุพฤติกรรมที่สมควรยกย่องอย่างชัดเจน
(3) ชมด้วยความจริงใจ






อ้างอิง
http://www.kroobannok.com/96

1 ความคิดเห็น:

  1. Best casino site 2021 - Choegocasino
    With over 500 casino 카지노 룰렛 games from 500+ casino software providers, you can find the best casino sites on choegocasino.com. Play for real money at Choegocasino!

    ตอบลบ